โรคอีสุกอีใสหรือไข้สุกใส เป็นโรคที่มักจะเกิดกับเด็กเล็ก วัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ว่าโรคนี้จะไม่เกิดกับคนที่อายุมาก เพียงแต่โอกาสเกิดกับคนที่อายุมากจะน้อยกว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสแล้วจะเกิดเป็นภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิตกล่าวคือจะไม่เป็นโรคนี้ซ้ำอีก โรคอีสุกอีใสมักจะระบาดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน สาเหตุของโรคอีสุกอีใสมาจากเชื้อไวรัสที่ชื่อไวรัสวาริเชลลา(Varicella Virus) ซึ่งมีระยะฟักตัวของเชื้ออีสุกอีใส 10-20 วัน
อาการของโรคอีสุกอีใส อาการของโรคจะเริ่มปรากฏหลังจากร่างกายได้รับเชื้อแล้ว 14-16 วัน โดยจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เป็นไข้ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาการโรคอีสุกอีใสที่สำคัญคือจะมีผื่นแดงและตุ่มขึ้นที่หนังศีรษะ(ตามไรผม)ก่อนแล้วจะลามไปบริเวณหน้า แผ่นหลัง ลำตัว แขนและขา บางคนอาจมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้เจ็บคอ ลิ้นเปื่อย ปากเปื่อย
ผื่นแดงที่เริ่มเกิดขึ้น จะเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มๆ นูนๆ มีน้ำใสๆ อยู่ภายในและมีอาการคัน ต่อมาอีกไม่กี่วันก็จะแห้งและตกสะเก็ดกลายเป็นแผลอีสุกอีใส คนที่เป็นโรคอีสุกอีใสหากมีความอดทนต่ออาการคันได้โดยไม่เกา หลังจากหายจากโรคอีสุกอีกใสแล้วก็จะไม่มีแผลเป็นอีสุกอีใสให้เห็น(หรือมีก็น้อย)แต่ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนมากจะคันและชอบเกาที่แผลตอนตกสะเก็ดจึงทำให้กลายเป็นแผลเป็นอีสุกอีใสหลังจากหายแล้ว
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย เพียงแค่การสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย การหายใจ ไอ จามรดกัน โดยเฉพาะการสัมผัสโดยตรงบริเวณตุ่มใสจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย(ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน) โดยทั่วไปแล้วโรคอีสุกอีใสจะไม่อันตรายรุนแรงมากนัก ผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใสจะเป็นเองและหายเองได้แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดอาการแทรกซ้อนในขณะที่ยังเป็นโรคนี้อยู่
การรักษาและวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคอีสุกอีใส เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเชลลาและยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง การดูแลรักษาอีสุกอีใสจึงเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้นคือ อาการไข้และอาการทางผิวหนัง กล่าวคือหากผู้ป่วยมีไข้สูงให้เช็ดตัวบ่อยๆ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอและให้ยาลดไข้พาราเซตามอล(ห้ามให้ผู้ป่วยกินแอสไพริน) หากมีอาการของโรคอีสุกอีใสที่เป็นอาการทางผิวหนังเช่น เกิดอาการคันให้ใช้ยาทาแก้ผื่นคัน(คาลาไมล์โลชั่น) ถ้าคันมากก็ให้กินยาแก้แพ้ช่วยบรรเทาอาการคัน ควรตัดเล็บผู้ป่วยให้สั้น อย่าแกะเกาตุ่มคันเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดอาการแทรกซ้อนได้ ส่วนเรื่องอาหารการกินให้กินอาหารได้ตามปกติ ทั้งเนื้อนมไข่ ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรค
การเฝ้าระวังอาการโรคอีสุกอีใส โดยทั่วไปอาการอีสุกอีใสหลังจากได้รับการดูแลรักษาตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อาการจะค่อยๆ ทุเลาได้เองภายใน 1-3 อาทิตย์ ในระยะนี้ให้ระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น ตุ่มที่เป็นในเยื่อบุปากรุนแรงจนทำให้กินอาหารไม่ได้ ปอดอักเสบ(ปอดบวม) มีอาการหายใจหอบ ตาเหลือง ซึม ปวดศีรษะมาก เจ็บหน้าอก อาเจียน หรือตุ่มตามร่างกายเป็นหนองหรือพุพอง ควรนำผู้ป่วยไปหาแพทย์ทันที
การป้องกันโรคอีสุกอีใส ทำได้โดยการไม่ใช้ข้าวของเครื่องใช้ปะปนกัน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ไม่สัมผัสกับผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสโดยตรง ในปัจจุบันนี้การป้องกันโรคอีสุกอีใสอีกวิธีหนึ่งคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส(ประมาณ 800-1,200 บาท) หากไม่มั่นใจว่าเคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือยังอาจลองปรึกษาแพทย์ให้ตรวจดูว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคนี้หรือยัง สำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสและใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นประจำอาจจำเป็นต้องป้องกันแบบเร่งด่วนโดยฉีดเซรุ่ม(VZIG) เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
โรคอีสุกอีใสไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงหากผู้ป่วยได้รับการดูแลและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องก็จะสามารถผ่านพ้นและหายจากโรคอีสุกอีใสได้แบบสบาย...สบาย
ที่มา http://thai-good-health.blogspot.com/2009/06/varicella.html