ในครั้งที่อีสปอยู่เป็นข้ารับใช้ซางตุสอยู่นั้น เขาชื่อว่าเป็นที่รักของเจ้านายเป็นยิ่งนัก เพราะความที่เขาเป็นผู้บำเพ็ญตนให้มีประโยชน์ และเป็นผู้ให้ความรู้แก่ผู้อื่นอยู่เรื่อยมา
อีสปถือว่าเป็นผู้ที่ทำให้เจ้านายโปรดปรานและต้องปวดหัวอยู่บ่อยๆ เพราะความฉลาดเกินตัวของเขา มีครั้งหนึ่งที่แสดงความเป็นผู้รู้ของอีสปให้เป็นที่ประจักษ์แก่มหาชน ก็คือวันที่เจ้านายของเขาจัดงานเลี้ยง
ซางตุสผู้เป็นเจ้านายจะจัดงานเลี้ยงแก่เพื่อนๆ จึงสั่งอีสปว่า “ให้ไปซื้ออาหารที่ดีที่สุดในตลาด” เพื่อมาทำเลี้ยงแขกในวันงาน หลังจากรับรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว อีสปก็รีบไปซื้อสิ่งของที่เจ้านายสั่งมาจัดเตรียมไว้ทันที
พอถึงวันงานเขาก็จัดการทำอาหารแต่เช้า เพื่อรอแขกที่จะมาร่วมงาน ครั้นได้เวลารับประทานอาหาร เจ้านายจึงสั่งให้อีสปนำอาหารที่ดีที่สุดมาให้แขกรับประทาน
อาหารจานแรกก็คือ “ลิ้น”
อาหารจานที่สองก็เป็น “ลิ้น”
ของหวานก็เป็น “ลิ้น” อีกเช่นเคย
ช่วงที่อีสปนำอาหารจานแรกมาเสิร์ฟนั้น แขกต่างชมว่ารสชาติอร่อยมาก แต่พอติดตามมาด้วยลิ้นอีก ก็รู้สึกว่าความอร่อยเริ่มหายไป หนำซ้ำของหวานก็เป็นลิ้นอีก แทนที่จะรู้สึกอร่อยกลับเป็นความรู้สึกสะอิดสะเอียนแทน เมื่อซางตุสเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น จึงเรียกอีสปมาสอบถามให้รู้เรื่องทันที
“ข้าสั่งให้ซื้ออาหารที่ดีที่สุดมามิใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงซื้อมาแต่ลิ้นเพียงอย่างเดียวล่ะ ?”
อีสปจึงตอบเจ้านายว่า
“เจ้านายคิดว่ายังจะมีอะไรดีไปกว่าลิ้นอีกหรือขอรับ เพราะบ้านเมืองที่เราอยู่อาศัยก็สร้างด้วยลิ้น การรักษาความสงบก็ต้องใช้ลิ้น ลิ้นยังมีหน้าที่สอน ชักชวน และควบคุมสภาผู้แทนราษฎร และด้วยลิ้นที่เรามีอยู่นี้แหละ ทำให้เราได้ทำหน้าที่อันสำคัญคือการได้กล่าวถึงพระศาสดา”
พอซางตุสได้ฟังดังนั้นก็คิดที่จะจับผิดอีสปให้ได้ จึงออกคำสั่งให้เขาไปซื้อ“สิ่งที่เลวที่สุด”เพื่อมาเลี้ยงแขกชุดเดิม พอรุ่งขึ้นอีสปก็นำอาหารคือ“ลิ้น”มาเสิร์ฟตามเดิม จึงทำให้เจ้านายต้องการทราบคำตอบของเขา อีสปจึงอธิบายว่า
“ลิ้นเป็นสิ่งเลวที่สุดในบรรดาสิ่งเลวร้ายทั้งหลายในโลก ลิ้นเป็นต้นเหตุของการถกเถียง ต้นเหตุของการฟ้องร้องกันในศาล ต้นเหตุทะเลาะวิวาทและสงคราม ลิ้นสรรเสริญพระศาสดาได้ แต่ขณะเดียวกันลิ้นก็สามารถกล่าววาจาอันชั่วร้าย แสดงความไม่ไว้วางใจในอานุภาพของพระองค์ได้เช่นกัน”
http://www.oknation.net/blog/preeeecha/2007/11/16/entry-5