 |
|
กลิ่น...บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
กลิ่น...บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
เมื่อพูดถึงคำว่า “กลิ่น” แต่ละคนก็จะนึกถึงกลิ่นที่ตัวเองจำฝังใจโดยไม่รู้ตัว ลองถามคนอยู่ใกล้ๆ สิครับว่า ถ้าให้นึกถึงกลิ่นอะไรก็ได้ขึ้นมา 1 กลิ่น จะนึกถึงกลิ่นอะไร บางคนอาจจะนึกถึงกลิ่นน้ำหอม กลิ่นดอกไม้ กลิ่นขนม อันนี้เป็นเชิงบวก แต่บางคนจะนึก ถึงกลิ่นอุจจาระ กลิ่นถุงเท้า รองเท้าเน่าๆ กลิ่นไข่เน่า หรือบางคนอาจจะนึกถึงกลิ่นตัวคนข้างๆ เพราะถ้าเป็นกลิ่นตัวเองกลับเฉยๆ ไม่มีอะไรให้นึกถึงเท่าไหร่ กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นเชิงลบ แต่ถ้าเป็นคนที่อารมณ์ศิลปินนิดๆ ก็อาจจะนึกถึงกลิ่นความรัก กลิ่นทะเล กลิ่นไอดินยามเช้า เป็นต้น อันนี้เรียกว่ากลิ่นศิลปะครับ
การที่เราได้กลิ่นและจดจำกลิ่นได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของระบบประสาทมนุษย์ หลายคนอาจจะรู้แล้วนะครับว่าเวลาเรากินอาหารที่บอกว่าอร่อยๆ นั้น ต้องมีกลิ่นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ถ้าเมื่อใดก็ตามที่จมูกเราสูญเสียการได้กลิ่นไป เช่น ช่วงเป็นหวัด มีน้ำมูกตลอดเวลา เราจะไม่ค่อยได้กลิ่นอะไร จะรู้สึกว่ากินอะไรไม่ค่อยอร่อยด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะจมูกเราไม่ได้กลิ่นของอาหารนั่นเอง
บริษัทที่ร่ำรวยมากๆ ของโลกก็ทำมาหากินเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นนั่นแหละครับ ลองหลับตาแล้วนึกถึงของใช้ในชีวิตประจำวันของเราสิครับว่ามีอะไรที่ไม่มีกลิ่นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสีฟัน ครีมล้างหน้า แชมพูสระผม อาหารสารพัด เครื่องดื่มต่างๆ แม้แต่เสื้อผ้า รองเท้า ยังมีกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะ
รู้ถึงความสำคัญของระบบประสาทเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นของตัวเราเองแล้วก็ควรจะได้รู้จักเรื่องของกลิ่นที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองไปพร้อมกันด้วย เช่น กลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นหนังศีรษะ กลิ่นเท้า และกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ!?! |
|
|
กลิ่นที่เกิดขึ้นจากร่างกายเราเป็นเรื่องของสารเคมีอย่างหนึ่ง กลิ่นบางตำแหน่งเกิดจากต่อมเหงื่อที่ผลิตเหงื่อออกมาแล้วเกิดการทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียเลยกลายเป็นกลิ่นเหม็น เช่น กลิ่นบริเวณรักแร้ แต่ถ้าเป็นกลิ่นปากก็เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างเชื้อแบคทีเรียกับคราบอาหารที่บริเวณซอกฟันนั่นเอง หรือเกิดจากอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารเกิดการทำปฏิกิริยาเคมี หรือเกิดการบูดเน่าในรายที่ท้องผูก เป็นต้น ทำให้กลายเป็นกลิ่นปากเวลาพูดออกมา
ส่วนกลิ่นเท้ามักจะเกิดกับผู้ชายมากกว่า เนื่องจากใส่รองเท้าหนังหรือรองเท้าผ้าใบแล้วมีเหงื่อออก ทำให้เกิดการทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียบริเวณซอกนิ้ว กลายเป็นกลิ่นเหม็นอีกเช่นกัน น่าแปลกคือบางคนไม่มีกลิ่นเหล่านี้เลย ขณะที่บางคนกลับมีกลิ่นรุนแรงมาก ทั้งๆ ที่สภาวะแวดล้อมเดียวกัน
สิ่งที่พอจะเป็นคำตอบนอกจากเรื่องของพันธุกรรมที่ทำให้มีการหลั่งเหงื่อออกมามากน้อยไม่เท่ากันแล้ว ที่มีผลก็คือ เรื่องอาหารการกิน ความเครียด และระบบภูมิคุ้มกัน อาหารที่มีผลทำให้กลิ่นตัวแรง อาทิ เนื้อสัตว์ใหญ่ต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และคนที่กินนมและผลิตภัณฑ์จากนมมากๆ ก็มักจะมีกลิ่นตัวแรง ขณะที่คนที่กินผักสด ผลไม้สดเป็นประจำในปริมาณมากๆ มักจะไม่ค่อยมีกลิ่นเหม็น คนที่เครียดมากก็มักจะมีกลิ่นตัวแรงเช่นเดียวกัน คนที่ไม่ค่อยกินผักผลไม้และเครียดประจำมักจะมีภูมิต้านทานไม่ค่อยดี และอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากตัวได้
การแก้ไขระยะสั้นทำได้ไม่ยากหรอกครับ กลิ่นเหล่านี้ ไม่อยากมีกลิ่นตัวก็ใช้ Deodorant ไม่อยากมีกลิ่นปากก็ใช้น้ำยาบ้วนปากบ่อยๆ ไม่อยากมีกลิ่นเท้า เดี๋ยวนี้ก็มีสเปรย์ระงับกลิ่นเท้าฉีดแล้วเช่นกัน แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยได้เพียงชั่วคราว ถ้าจะเอานานกว่านั้นจะฉีดโบทอกซ์เพื่อลดกลิ่นตัวก็ทำได้อีกเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราเป็นคนตัวหอมก็คือ การดูแลเรื่องความสะอาด กินผักสด ผลไม้สดให้มาก กินเนื้อสัตว์และนม ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากนมให้น้อย ออกกำลังกายคลายเครียด ถ้าทำได้อย่างนี้เรื่องกลิ่นก็มักจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร
เรื่องกลิ่นปาก การขูดหินปูนสามารถช่วยได้ดีครับ แต่ถ้าปากเสียเพราะพูดไม่ดี อันนี้ไม่มีใครช่วยได้ครับ! |
ที่มา http://www.whoweeklymagazine.com/fashion_content_detail.php?t=tips&t1=fashion&id=120
|
00467 โดย ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ 2010-08-03 21:04:17 v : 2390
  |
|
|
|
.jpg)
ดร.ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ
|
|
|
| เว็บทางการศึกษา |
|
ตรวจสอบความเร็วอินเตอร์เน็ต
ข่าว The Nation
ข่าว CNN
ข่าว BangkokPost
|
|
|
|
|
|
เรียนพิเศษโคราช
พัฒนาระบบโดย
ธีรวัฒน์ ภู่เจริญ
|
|
|
