ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง
ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง
ชุดฝึกอบรม (Training Package) ได้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 มีการดำเนินการพัฒนาจากบทเรียนแบบโมดูล และมีการพัฒนาเป็นลำดับเรื่อยมาจนเป็น
ชุดฝึกอบรมเมื่อกลางปี ค.ศ. 1970 ซึ่ง เร็กซ์ เมเยอร์ (Rex Meyer) ณ ศูนย์พัฒนาการสอน
แห่งมหาวิทยาลัยแมคควอรี่ เป็นผู้นำในการทดลองใช้ชุดการสอนมีลักษณะและรูปแบบต่างๆ
จนได้รูปแบบที่มีประสิทธิภาพ และได้นำไปใช้กับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายในภูมิภาคแถบเอเซียและแปซิฟิค (เปรมวดี คฤหเดช. 2540 : 52 ; อ้างอิงจาก สุดารัตน์ ชาญเลขา. 2535) และศูนย์พัฒนาการสอนแห่งมหาวิทยาลัยแมคควอรี่ (เปรมวดี คฤหเดช. 2540 : 52-53 ; citing Center For advancement of teaching : C.A.T.; Macquarie University. 1980) ได้ให้
ความหมายของ ชุดฝึกอบรม หมายถึง โครงการเรียนที่มีเนื้อหาจบในตัวเอง สามารถใช้ได้ทั้งกับกลุ่มหรือรายบุคคล โดยทั่วไปการเรียนรู้โดยชุดฝึกอบรมมีกลวิธีหลายแบบ แต่มีจุดประสงค์การเรียนรู้ชัดเจน สามารถเกิดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนในระยะสั้นได้ และ แอลเลนและแวเลท์ (Allen & Valette. 1977) ได้กล่าวว่า ชุดฝึกอบรม สามารถใช้ในการฝึกอบรมโดยใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนถึงสามเดือนตามความเหมาะสม ประกอบด้วยเนื้อหาของชุดฝึกอบรมจะกำหนดตามความสนใจของผู้เรียนและสมรรถภาพของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
นอกจากนี้ บราวน์ (นภาพร สิงหทัต. 2531: 5 ; citing Brown. 1977: 38) ได้กล่าวว่า ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง มีลักษณะเหมือนชุดการสอนรายบุคคล จัดระบบขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยตนเองตามลำดับขั้นที่ระบุไว้ โดยใช้สื่อการสอนประเภทสื่อประสม ที่สอดคล้องกับเนื้อหา
บทเรียนตอนหนึ่งๆ เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวบรวมเป็นกล่องหรือเป็นชุด บางชุดอาจประกอบด้วยสื่อหลายๆอย่าง บางชุดอาจประกอบด้วยเอกสารเพียงอย่างเดียว บางชุดอาจจะเป็นบัตรคำสั่งหรือเอกสาร เพื่อให้ผู้เรียน เรียนด้วยตนเองซึ่งชุดการสอนที่จัดเป็นสื่อการเรียนรู้ด้วยเองในลักษณะชุดฝึกอบรมด้วยตนเองนี้ สามารถออกแบบในลักษณะต่างๆ แต่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จะเป็นชุดฝึกอบรมที่มีลักษณะ เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ที่พัฒนาขึ้นโดยจากการอาศัยหลักการสอนแบบบทเรียนโปแกรม เริ่มตั้งแต่
ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา เป็นผลเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าด้านการสื่อสาร การบริหาร การพัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ การยอมรับทฤษฎีเชิงมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
(วิโรจน์ สารรัตนะ. 2532 : 36)
1.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอย่างกระฉับกระเฉง กล่าวคือ
จัดให้มีการเรียนรู้ด้วยการกระทำด้วยตนเอง โดยการตอบคำถาม มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม เป็นต้น
2.ให้ผู้เรียนได้รับทราบผลการเรียนของตนเองในทันที โดยให้ทราบถึงคำตอบที่ถูกต้อง
ในลักษณะข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และถ้าจัดให้เป็นที่พอใจจะเป็นการเสริมแรงให้ผู้เรียนอยากจะเรียนต่อไป
3.ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงแห่งความสำเร็จเป็นระยะๆ โดยการเสริมแรงดังกล่าวมา
แล้ว โดยจัดอย่างฉับพลันทันที จึงจะเป็นผลดีแห่งการเรียนรู้ ซึ่งถ้าปล่อยให้ล่าช้าไป จะมีผลทำให้ตัวเสริมแรงจะลดประสิทธิภาพการเสริมแรงลง
4.การจัดลำดับเนื้อหาเป็นขั้นตอนย่อยๆต่อเนื่องกัน คือเริ่มจากเรื่องง่ายๆเหนือสิ่งที่รู้
แล้ว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจเริ่มแรกก่อน แล้วจึงค่อยเพิ่มความยากขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ สุเทพ หุ่นสวัสดิ์ (2540 : 14-15) ได้สรุปว่า ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง
(Self - learning module) และ โดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
1.วัตถุประสงค์การฝึกอบรม เป็นการกำหนดว่า เมื่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมผ่าน
การฝึกอบรมแล้วควรมีพฤติกรรมเช่นใด พฤติกรรมต่างๆดังกล่าวที่แสดงออกจะเป็นผลจาก
การเรียนรู้ โดยกำหนดในลักษณะวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม คือ สามารถวัดได้ และสังเกตได้ เป็นต้น
2. เนื้อหาของการฝึกอบรม เป็นเรื่องราวหรือกิจกรรม ที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะต้องกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
3. วิธีการฝึกอบรม เป็นวิธีการที่ใช้ในการฝึกอบรมเพื่อให้ผู้รับการฝึกอบรมเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งมีการดำเนินการได้หลายวิธีการดังนี้
3.1 การศึกษาด้วยตนเอง เป็นการฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม สามารถศึกษา
ด้วยตนเอง โดยทำกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง ตามที่ระบุไว้ในคู่มือ
3.2 การบรรยาย เป็นการฝึกอบรมที่ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฟังการบรรยาย
จากวิทยากรที่จัดให้ตลอดระยะเวลาการฝึกอบรม
3.3 ใช้ทั้งสองวิธีการประกอบกัน ซึ่งมีทั้งการบรรยายจากวิทยากรและให้ผู้เข้ารับ
การฝึกอบรมศึกษาเองบางส่วน
5.สื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกอบรม ประกอบด้วย วีดีทัศน์ สไลด์ แผ่นภาพโปร่งใส
คู่มือ แบบฝึกหัด เอกสารที่เกี่ยวข้องและอุปกรณ์ที่อาจมีตามความเหมาะสม
1. การประเมินผลการฝึกอบรม เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ในการฝึกอบรมว่า เป็นไป
ตามวัตถุประสงค์เพียงใด เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งสามารถวัดได้ได้หลายวิธี เช่น
การสังเกต สัมภาษณ์ หรือใช้แบบทดสอบ เป็นต้น
สรุปได้ว่า ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างหนึ่ง โดยการใช้เทคนิคการฝึกอบรมในลักษณะการสอนสำเร็จรูป ซึ่งเป็นการสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จ ให้อิสระผู้เรียน สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากเครื่องมือหรือหนังสือ ที่เตรียมบทเรียนที่กำหนดให้ และ
มีสื่อต่างๆประกอบบทเรียนด้วย ซึ่งชุดฝึกอบรมด้วยตนเองนี้ เป็นเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับ
การสอน การอบรมความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน ผู้เข้ารับการอบรมทั้งระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ
ในลักษณะการฝึกอบรมประเภทการฝึกนอกงาน (Off-the-Job Training) และโดยทั่วไปมีส่วนประกอบคือ วัตถุประสงค์การฝึกอบรม เนื้อหาของการฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรม (การศึกษาด้วยตนเอง) สื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกอบรมและการประเมินผลการฝึกอบรม ซึ่งผู้จัดทำได้ใช้
หลักการและแนวคิดมาใช้ในการจัดทำและพัฒนาชุดสื่อนิเทศสำหรับศึกษาด้วยตนเองเพื่อใช้เป็นกิจกรรมและวิธีการการนิเทศภายในโรงเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถในบทบาทและหน้าที่
ครูผู้สอนด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
หลักการเรียนรู้ที่ใช้ในการพัฒนาชุดสื่อนิเทศสำหรับศึกษาด้วยตนเอง
เนื่องจากชุดสื่อนิเทศศึกษาด้วยตนเองได้ใช้หลักการและแนวคิดการสร้างและพัฒนาจากชุดฝึกอบรม นั้น เป็นรูปแบบการฝึกอบรมที่ใช้พัฒนาความสามารถของบุคคลในรูปแบบการสอนสำเร็จรูป ซึ่งจะต้องสร้างและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาครูผู้สอน ดังนั้น จึงต้องใช้แนวคิด ทฤษฎี และหลักการของจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นแนวทางในการดำเนินการ ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม
บลูม (Bloom.1976) เป็นนักการศึกษาชาวอเมริกัน เชื่อว่า การเรียนการสอนที่จะ
ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนแน่นอน เพื่อให้ผู้สอนกำหนดและจัดกิจกรรมการเรียนรวมทั้งวัดประเมินผลได้ถูกต้อง และบลูมได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมโดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้และจิตวิทยาพื้นฐานว่า มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ใน 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ และนำหลักการนี้จำแนกเป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเรียกว่า Taxonomy of Educational objectives (อติญาณ์ ศรเกษตริน. 2543 :72-74 ; อ้างอิงจาก บุญชม ศรีสะอาด. 2537 ; Bloom. 1976 : 18)
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) : เป็นจุดประสงค์ด้านเชาวน์ปัญญา หรือด้านความรู้ ความคิด ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถที่ซับซ้อนจากน้อยไปหามากดังนี้
1.1 ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถในการจดจำแนกประสบการณ์ต่างๆและระลึกเรื่องราวนั้นๆออกมาได้ถูกต้องแม่นยำ
1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถบ่งบอกใจความสำคัญของเรื่องราวโดยการแปลความหลัก ตีความได้ สรุปใจความสำคัญได้
1.3 การนำความรู้ไปประยุกต์ (Application) เป็นความสามารถในการนำหลักการ กฎเกณฑ์และวิธีดำเนินการต่างๆของเรื่องที่ได้รู้มา นำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้
1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวที่สมบูรณ์ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อยๆได้อย่างชัดเจน
1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน โดยปรับปรุงของเก่าให้ดีขึ้นและมีคุณภาพสูงขึ้น
1.6 การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการวินิจฉัยหรือตัดสินกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป การประเมินเกี่ยวข้องกับการใช้เกณฑ์คือ มาตรฐานในการวัดที่กำหนดไว้
2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) : เป็นจุดประสงค์ด้านความรู้สึก ได้แก่ ความสนใจ ค่านิยม คุณค่า ฯลฯ มีขั้นตอนของพฤติกรรมตามลำดับขั้นดังนี้
2.1 การรับรู้ (Receiving of Attending) เป็นการที่ผู้เรียนได้รับผลประโยชน์จาก
สภาพแวดล้อม เช่น คน สิ่งของ ผลงาน ข้อมูล หรืออะไรก็ตาม แล้วเกตการเรียนรู้และเข้าใจถึงสิ่งนั้นได้ การรับรู้นี้จะมี 3 ขั้น คือ ความตระหนัก ความเต็มใจ ที่จะรับรู้และการควบคุมหรือเลือกให้ความสนใจ
2.2 การตอบสนอง (Responding) เป็นปฏิกิริยาที่ผู้เรียนมีต่อสิ่งเร้าโดยมีพฤติกรรม
การตอบสนอง ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับคือ การยอมรับการตอบสนอง ความเต็มใจที่ตอบสนอง และพอใจในการตอบสนอง
2.3 การสร้างคุณค่า (Value) เป็นการสร้างคุณค่าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยมีพฤติกรรมดังนี้คือ การยอมรับคุณค่า การนิยมในคุณค่า และการผูกพันในคุณค่า
1.1 การจัดระบบคุณค่า (Organization) เป็นการที่ผู้เรียนจะต้องมีการคิดพิจารณาและ
รวบรวมคุณค่าภายหลังจากที่ผู้เรียนได้สร้างค่านิยมย่อยๆเกี่ยวกับสิ่งเร้าต่างๆแล้ว ซึ่งการจัดคุณค่าเป็นระบบแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ การสร้างมโนภาพเกี่ยวกับคุณค่าเหล่านั้น และการจัดระบบคุณค่าเหล่านั้นให้เป็นระเบียบ
2.5 การสร้างลักษณะนิสัย (Characterization) ในขั้นตอนนี้ ความคิด ความรู้สึกและ
ค่านิยมที่เกิดขึ้นมาในระดับก่อนหน้านี้ จะกลายมาเป็นความประพฤติ คุณสมบัติ คุณลักษณะของ
แต่ละบุคคล ซึ่งเป็นผลของการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยที่สูงสุด พฤติกรรมที่แสดงออกในระดับนี้ได้
แก่การมีหลักยึดในการตัดสินใจหรือพิจารณาสิ่งต่างๆและการแสดงลักษณะนิสัย และคุณสมบัติของแต่ละบุคคล
3. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) : เป็นการกระทำที่ใช้ความสามารถที่แสดงออกทางกาย ซึ่งแบ่งระดับพฤติกรรมทางด้านการปฏิบัติตามระดับความซับซ้อนของการกระทำ 5 ระดับ คือ
3.1 การรับรู้ (Perception) เป็นการรับรู้เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการเรียนอย่างชัดเจน สอดคล้องสัมพันธ์กับการปฏิบัติการเรียนของเขา
3.2 ความพร้อมในการปฏิบัติ (Set) เป็นความพร้อมในการกระทำหรือประสบการณ์เฉพาะทั้งด้านร่างกาย ความคิด และอารมณ์
3.3 การตอบสนองตามคำแนะนำ (Guided Response) ผู้เรียนจะตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมการยอมรับออกมาภายหลังได้รับคำแนะนำ
3.4 การปฏิบัติได้ (Mechanism) ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้เอง
3.5 การตอบสนองต่อสิ่งที่ซับซ้อน (Complex Overt Response) ผู้เรียนสามารถ
กระทำหรือปฏิบัติในสิ่งที่ซับซ้อนได้โดยปราศจากความลังเลสับสน
สรุปได้ว่า ตามแนวคิดของบลูมนั้น ความสามารถของบุคคลเกิดจากการเรียนรู้ ประกอบด้วยพฤติกรรมที่สำคัญแบ่งออกเป็น 3 ด้านได้แก่ ด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ
00259 โดย ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ 2009-07-14 10:42:51 v : 4877
|