อัจฉริยะ : พันธุกรรมและ/หรือสภาพแวดล้อม
อัจฉริยปัจจัย : พันธุกรรมและ/หรือสภาพแวดล้อม
เราใช้ตัววัดอะไรในการบอกความสามารถระดับอัจฉริยะของคน คะแนนสอบ คะแนน IQ หรือปริญญา นักจิตวิทยาได้รู้มานานแล้วว่า คะแนนหรือกระดาษใบดังกล่าวไม่สามารถชี้บอกความสามารถระดับอัจฉริยะได้ เพราะการสอบส่วนใหญ่เป็นการทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ด้วยกระดาษและปากกา ในช่วงเวลาสั้นๆ ในเมื่อความเป็นอัจฉริยะของคนมีหลายรูปแบบ เช่น ความสามารถด้านดนตรี วาดรูป ด้านการประพันธ์หรือประดิษฐ์และผลงานประเภทนี้ต้องใช้เวลาในการสร้างสรรค์นาน ดังนั้นข้อสอบทั่วไปจะไม่สามารถวัดความสามารถระดับอัจฉริยะของคนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้ได้เลย
นักจิตวิทยาจึงได้พยายามตอบคำถามว่า อัจฉริยปัจจัยมีอะไรบ้าง การที่ใครจะเป็นอัจฉริยะได้ต้องมีพรสวรรค์หรือพรแสวงกันแน่ หรือทั้งสองอย่าง
Thomas Edison นักประดิษฐ์เอกของโลก ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เครื่องฉายภาพยนต์ ฯลฯ ได้เคยกล่าวว่า ใครก็ตามสามารถเป็นอัจฉริยะได้หากคนคนนั้นมีความพยายาม 99% และพรสวรรค์ 1% ตัวเลข 99% นักจิตวิทยาปัจจุบันไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าปัจจัยด้านพันธุกรรม สรีระ และการฝึกฝนอย่างจริงจังก็มีบทบาทไม่น้อย ในการที่จะทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จสูงสุด นอกจากนี้นักจิตวิทยาแทบทุกคนก็ยังมีความเห็นว่า คนที่จะเป็นอัจฉริยะได้จะต้องมียีน (gene) อัจฉริยะในตัว และถ้าไม่มียีนนี้ ถึงจะพยายามสักเพียงใดเขาก็ไม่มีวันจะไปถึงดวงดาว
ซึ่งเราทุกคนก็คงเห็นด้วยว่า ความพยายามแต่เพียงอย่างเดียวถึงให้บวกแรงจูงใจแล้วเสริมด้วยแรงผลักดันสักปานใด เราก็ไม่มีวันที่จะแต่งซิมโฟนีได้ไพเราะและลึกซึ้งเหมือน Beethoven เราก็ไม่มีความสามารถจะเตะลูกฟุตบอลได้ดีและน่าอัศจรรย์เหมือน Pele และถึงแม้จะให้นั่งทำงานกับ Einstein และให้ Einstein สอนและฝึกนานสักปานใด เราก็ไม่มีวันจะพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และเราก็รู้อีกว่าโลกมีคนนับล้านที่ได้เคยเห็นผลไม้ตกจากต้นก่อน Newton แต่ก็มี Newton เท่านั้นที่รู้ว่า การที่เป็นเช่นนี้เพราะแอปเปิลถูกโลกดึงดูด ซึ่งการ "ตรัสรู้" เช่นนี้ไม่ได้มาจากการฝึกฝนแต่อย่างใด
แต่การที่จะสรุปฟันธงลงไปว่ายีนอัจฉริยะต้องมีอยู่ในคนคนนั้น เขาจึงจะเป็นอัจฉริยะได้ และคิดว่าสภาพแวดล้อมไม่มีบทบาทเลยนั้นก็ไม่ถูก เพราะนั่นก็เหมือนกับการสรุปว่า คนดำเท่านั้นที่สามารถวิ่งได้เร็ว หรือคนขาวเท่านั้นที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ เพราะ Roger Bannister ผู้พิชิตระยะทาง 1 ไมล์ได้ภายในเวลาน้อยกว่า 4 นาทีเป็นคนขาวหาใช่คนดำ และ Hideki Yukawa นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เป็นคนญี่ปุ่นที่ไม่ใช่คนขาว เป็นต้น
Anders Ericsson นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Florida State ในสหรัฐอเมริกา เป็นนักวิชาการผู้หนึ่งที่สนใจใฝ่รู้ในเรื่องนี้ เขากลับเชื่อว่าใครก็ตามสามารถจะแสดงความเป็นอัจฉริยะได้ หากได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเวลานานอย่างน้อย 10 ปี โดย Ericsson ได้อ้างว่า Mozart ก็ไม่สามารถจะเป็น Mozart ที่โลกยอมรับได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนหนักตั้งแต่เด็ก
แต่โลกก็มีตำนานมากมายที่กล่าวถึง บุคคลระดับอัจฉริยะ เช่น Gauss ผู้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกว่า สามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์ประเภทบวกลบได้ด้วยตนเองก่อนเข้าโรงเรียน หรือ Mozart เองก็สามารถจะเล่นดนตรีได้ก่อนที่จะมีครูสอน เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างทั้งสองนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีของ Ericsson แต่ Ericsson ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ตัวอย่างที่ยกมากล่าวถึงนี้เป็นตำนาน ที่อาจปราศจากมูลความจริง ดังนั้น Ericsson จึงมีความเห็นว่า ในการที่จะศึกษาค้นหาอัจฉริยปัจจัย เราควรสนใจศึกษาจากบุคคลปัจจุบันที่กำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้มากกว่า
Ericsson ไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ แต่เขาเชื่อว่า อัจฉริยชนเป็นบุคคลพิเศษที่สามารถใช้สมองส่วนที่ทำหน้าที่บันทึกความจำระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง ซึ่งความทรงจำชนิดนี้เป็นปัจจัยที่จำเป็นมากในการทำงานระดับสูง
เมื่อเร็วๆ นี้ N.Tzourio - Mazoyer แห่งมหาวิทยาลัย Caen ในฝรั่งเศสได้วัดคลื่นสมองของเด็กอัจฉริยะที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ ขณะคำนวณและเขาก็ได้พบว่าเด็กคนที่ชื่อ Rudiger Gamm สามารถคำนวณรากที่ห้าของเลขสิบหลักได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที และคำนวณคำตอบของเลขสองหลักที่ยกกำลังเก้าได้โดยใช้เวลาไม่ถึงนาทีเช่นกัน หรือเมื่อถูกบอกให้หารเลขจำนวนหนึ่งด้วยเลขอีกจำนวนหนึ่ง Gamm ก็สามารถให้คำตอบที่มีเลขทศนิยมถึง 60 ตำแหน่งได้ในทันทีทันใด ซึ่งผลการศึกษาของ Tzourio - Mazoyer นี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Neuroscience ประจำเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2543 จึงถือได้ว่างานวิจัยของ Tzourio - Mazoyer เป็นความพยายามครั้งแรกของนักวิทยาศาสตร์ในการศึกษาสมองของอัจฉริยะขณะทำงาน
เทคนิคที่ Tzourio - Mazoyer ใช้ในการศึกษาเรื่องนี้มีชื่อเรียกว่า positron emission tomograph หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า PET เธอได้พบว่าขณะคำนวณตัวเลข Gamm ใช้พื้นที่ของสมองมากกว่าคนปกติ ในขณะที่คนปกติใช้สมองประมาณ 12 ส่วน แต่ Gamm ใช้สมองมากกว่าคนปกติอีก 5 ส่วน ซึ่งสมอง 5 ส่วนที่เกินนี้เป็นสมองส่วนที่ทำงานด้านการบันทึกความทรงจำระยะยาว
ดังนั้น จึงดูเหมือนว่า Gamm ต้องใช้สมองส่วนนี้จึงทำงานได้เร็วและถูก และนั่นก็หมายความว่ากรณีของ Gamm คือประจักษ์หลักฐานที่ได้ชี้ให้เห็นว่า ความคิดของ Ericsson
00226 โดย ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ 2009-06-27 15:18:24 v : 2584
|